วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Welcome to our blog ~*


เรียนถึงผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน


บล็อกสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมเนื้อหาที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่อง "ความขัดแย้ง" หัวข้อที่ทางกลุ่มของเราหยิบยกมาเป็นประเด็นในการเป็นสื่อประกอบการสอนของรายวิชา PG352 ภาวะผู้นำและกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีสมาชิกรับผิดชอบในการจัดทำหัวข้อแตกต่างกันที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง "ความขัดแย้ง" ดังต่อไปนี้

(นิสิตเอกภาษาเพื่ออาชีพชั้นปีที่ 3)
นภัสกร ศาสตร์ยังกุล 53101010118
ปิยภาคย์ ดวงฉวี 53101010407
สิทธิโชค ถิรกิจพงศ์ 53101010416
สุธาวี ชินลาภากุล 53101010418
อาทิตย์ พิทักษ์ 53101010423

ทางกลุ่มผู้จัดตั้งบล็อกนี้มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากเนื้อหาสาระเรื่อง "ความขัดแย้ง" และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ถ้าหากมีข้อผิดพลาด ประการใด ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย


คณะผู้จัดทำ


อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดมีความสนใจที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหานอกจากนี้ สามารถติดต่อสมาชิกบล็อกของเราได้ทุกคนเลยค่ะ ^^ ........ ขอบคุณค่ะ

ความขัดแย้ง

ความขัดแย้ง
CONFLICT

by สธว

ความขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันของบุคคล หรือ กลุ่มบุคคล
อันสืบเนื่องมาจาก ความสนใจ เจตคติ ค่านิยม ความต้องการ ความเชื่อ การรับรู้ และ
ผลประโยชน์ไม่ตรงกัน ไม่สามารถบรรลุความปรารถนาในแต่ละฝ่ายได้พร้อมๆกัน


แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความขัดแย้ง

1.มุมมองแบบดั้งเดิม (The Traditional View) (1900-1940)
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่้ต้องการหลีกเลี่ยง เป็นสิ่งที่ไม่ดีและส่งผลกระทบด้านลบ ความขัดแย้งไ่ม่ต่างจากคำว่า ความรุนแรง การทำลาย และความไร้เหตุผล เพราะเชื่อว่าความขัดแย้งนำมาซึ่งความเสียหายต่างๆมากมาย ดังนั้น มุมมองลักษณะนี้สนับสนุนการเลี่ยงความขัดแย้ง เช่น การออกกฎระเบียบ กระบวนการทำงานที่เข้มงวด
2.มุมมองแบบมนุษยสัมพันธ์ (The Human Relation View) (1940-1970)
ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติและยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป สามารถกำหนดแนวทางในการแสดงออกได้ 
3.มุมมองแบบร่วมสมัย (The Integrationist View) (1970-ปัจจุบัน)
ความขัดแย้งทำให้เกิดผลดีต่อกลุ่ม เพราะเป็นตัวบังคับให้เกิดประสิทธิภาพ คล้ายคลึงกับ การแข่งขัน และ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตองค์กร อีกทั้งสนับสนุนความขัดแย้งบนรากฐานที่่ว่าองค์กรที่มีความสามัคคี ย่อมมีความสงบสุขและความร่วมมือ หากไม่ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง การให้ความร่วมมือกับองค์กรจะเป็นเื่รื่องเฉื่อยชาและไม่ตอบสนองต่อความต้องการในการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ดังนั้น มุมมองลักษณะนี้สนับสนุนให้ผู้บริหารรักษาระดับความขัดแย้งภายในองค์กรให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเพียงพอที่จะทำให้องค์กรเจริญเติบโตอย่างสร้างสรรค์

สรุป ความ ขัดแย้งเป็นเรื่องของธรรมชาติ ผู้คนมักจะมองความขัดแย้งไปในทางลบ ซึ่งจริงๆแล้ว ความขัดแย้งนั้นขึ้นอยู่กับวิธีคิดและการจัดการของเราเองทั้งนั้น บางทีความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นโดยตัวมันเอง ไม่ได้ส่งผลในทางด้านบวกหรือลบแต่อย่างใด ดังนั้น ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต เราควรจะทำความเข้าใจกับมัน และมองว่า การที่เกิดความขัดแย้งขึ้นนั้นถือเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นดีกว่า เพียงเท่านี้ ความขัดแย้งก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเราอีกต่อไป


ขอบคุณแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมประกอบเนื้อหา
http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=1&cad=rja&ved=0CDEQFjAA&url=http%3A%2F%2Fwww.phrae.mju.ac.th%2FFaculty%2Fcm_mju%2Fimages%2Felearning%2FDefinition%2520and%2520%2520Nature%2520of%2520Conflict.ppt&ei=NP0kUcjQI4iurAfXgYHQAQ&usg=AFQjCNElfIY4UGKlhiXYXwbmmXlN6YLAKA&sig2=HLOMAmauN-3Il76li9L_1w&bvm=bv.42661473,d.bmk

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความขัดแย้ง... มาจากไหน??


ที่มาของความขัดแย้ง
by นภัสกร ศาสตร์ยังกุล 




แต่ก่อนนั้นคนทั่วไปเชื่อว่า ความขัดแย้ง เป็นเรื่องไม่ดีนัก ความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากที่จะหลีกเลี่ยงหลีกหนีกัน แต่ในปัจจุบันกลับมองว่า ความขัดแย้งก็มีข้อดีสำหรับการทำงาน มีผลดีสำหรับกลุ่ม ซึ่งความขัดแย้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้



แล้วความขัดแย้งนั้นมาจากไหน??



เราสามารถสรุปได้ว่าความขัดแย้งเกิดมาจากรากฐานดังต่อไปนี้





     การแข่งขัน


ว่ากันตามหลักจิตวิทยาว่ามนุษย์มีพฤติกรรมที่ชอบการแข่งขันมากกว่าจะร่วมมือกัน (จาก Learned Needs Theory หรือหลักทฤษฎีความต้องการการเรียนรู้ ของ เดวิด ซี แมคเคิลแลนด์ ที่กล่าวถึงพฤติกรรมหนึ่งของมนุษย์ ที่ประกอบด้วยความต้องการต่างๆ ทั้งทางด้านอำนาจ ความผูกพัน และความสำเร็จ) เช่นที่เห็นได้ในสังคมอย่าง แข่งกันเบียดขึ้นรถไฟฟ้า แข่งกันขายสินค้า แข่งกันทำยอดขายให้บริษัท  หรือแม้แต่เด็กๆ แข่งกันตอบคำถามคุณครู ฯลฯ 
แต่การแข่งขันก็มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น คุณค่าของรางวัลที่ได้รับ, บุคลิกภาพของบุคคล, ความสัมพันธ์, ความสามัคคีของกลุ่มและบุคคล, ข้อได้เปรียบที่จะใช้แข่งขัน เป็นต้น 





การแบ่งปันทรัพยากร


อีกปัญหาโลกแตกประการหนึ่งในความขัดแย้งของกลุ่มที่ไม่รู้จะแบ่งสรรปันส่วนทรัพยากรกันอย่างไรดี ซึ่งประเภทของการแบ่งทรัพยากรแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ
- Equity norm (ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย)
- Equality norm (ได้เท่ากันหมด) 
- Power norm (อำนาจมากได้มาก)
- Need norm (ใครอยากได้มากก็ได้มาก)


แต่ปัญหาก็คือ...แน่นอนว่าทุกคนในกลุ่มคงไม่มีความคิดเห็นตรงกันหมด ซึ่งสมาชิกของกลุ่มจะต้องตกลงกันว่าจะใช้การแบ่งทรัพยากรแบบใดถึงจะให้เป็นที่พอใจแก่ส่วนรวม ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นนั่นเอง




อำนาจ


เรื่องของอำนาจมักไม่เข้าใครออกใครในยุคนี้ เมื่อคนเริ่มมีอำนาจเหนือคนอื่น ก็มักมีแนวโน้มที่จะดูแลแต่พวกของตนเอง เกิดการลำเอียงขึ้น และอาจเกิดการเอาเปรียบอีกฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่า ซึ่งฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าอาจเริ่มต่อต้าน หาพรรคหาพวกขึ้นและอาจเกิดการปฏิวัติหรือก่อกบฏได้ ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติในฝรั่งเศส หรือตัวอย่างที่ใกล้ๆ ตัวก็คือเรื่องของการเมืองไทยนี่เอง





การตัดสินใจ

การตัดสินใจเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของกลุ่ม ซึ่งเกิดจากความคิดเห็นหรือการตีความในการทำงานที่ไม่ตรงกัน ความขัดแย้งนี้แม้ว่าจะทำให้งานกลุ่มประสบความสำเร็จหรือพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ก็อาจทำไปสู่ความขัดแย้งส่วนตัวได้เช่นกัน





ปัจจัยส่วนบุคคล


ปัจจัยส่วนบุคคล หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อยคือ อคติ ซึ่งตัวอคติที่มีอยู่ในตัวบุคคลนี่เองนี่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ เช่น ไม่ชอบหน้าสมาชิกในกลุ่ม หมั่นไส้คนอื่นๆ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีระเบียบ สื่อสารไม่เป็น ไม่สุภาพ ไม่ยอมใคร เป็นกบในกะลา โดยทัศนคติของบุคคลแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ 

- I'm good. You are good. (มองว่าทุกคนดีหมด)

- I'm good. You are bad. (มองว่าตัวเองดีแต่คนอื่นไม่ดี)

- I'm bad. You are good. (มองว่าตัวเองไม่ดีแต่คนอื่นดี)

- I'm bad. You are bad. (มองว่าไม่มีใครดีสักคน)



ที่มา : http://kimmus.multiply.com/journal
http://www.novabizz.com/NovaAce/Relationship/Conflict_Management.htm

กระบวนการจัดการความขัดแย้ง & รูปแบบของการจัดการความขัดแย้ง

กระบวนการจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management)

             การศึกษากระบวนการจัดการความขัดแย้งมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะวิเคราะห์ให้เห็นถึงสภาพบริบทในสังคม ในการจัดการความขัดแย้ง โดยมีความสัมพันธ์และสอดคล้องในการสร้างความสมานฉันฑ์ในสังคม ภายใต้แนวการศึกษาที่มีแนวคิดการใช้กระบวนการยุติธรรม

ในกระบวนการจัดการความขัดแย้ง ประกอบไปด้วยอยู่ 5 ขั้นตอนด้วยกัน

1. เผชิญกับความขัดแย้ง - เป็นธรรมดาที่ก่อนจะจัดการกับปัญหาความขัดแย้งนั้น เราจำเป็นต้องเข้าไปเผชิญกับปัญหาความขัดแย้ง เพื่อเป็นการประเมินดูเสียก่อนว่า สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ที่นั้น เป็นอย่างไรและะ เหมาะสมที่จะใช้กระบวนการนี้ได้หรือไม่ และจะดำเนินการไปในแนวทางใด

2. เข้าใจสภาพแต่ละฝ่าย - การที่จะทำให้ทั้ง สองฝ่ายเข้าร่วมการแก้ไขความขัดแย้งให้ผ่านพ้นไปได้นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจถึงสถานภาพของทั้ง สองฝ่าย และ จะต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงกระบวนการระงับความขัดแย้งนั้นเสียก่อน มิฉะนั้น การดำเนินการคงเป็นไปได้อย่างไม่ราบรื่น
3. ระบุปัญหา - ในการระงับความขัดแย้งนั้น เบื้องต้นเราจะต้องค้นหาความต้องการของแต่ละฝ่ายเสียก่อน และจะเป็นต้องเป็นความต้องการที่แท้จริงของฝ่ายนั้น เพราะบ่อยครั้งที่การแสดงออกไม่ได้แสดงถึงความต้องการที่แท้จริง แต่ทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือ แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องที่พิพากกันอยู่เลย
4.แสวงหาและประเมินทางเลือก  - เมื่อทราบความต้องการของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการหาทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็รับในสิ่งที่ตนพึงได้และ เกิดความพอใจแก่ทั้งสองฝ่าย ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทั้ง สองฝ่ายพอใจ แต่ในทางกลับกัน ควรก่อให้เกิดควาไม่พอใจน้อยที่สุด ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจต้องนำหลักการหาผลประโยชน์ร่วมกัน และมีผู้ไกล่เกลี่ยเป็นผู้พยายามขี้ให้เห็นถึงข้อดีของทางออกที่นำเสนอ และยอมลดข้อเรียกร้องบางประการเพื่อให้ข้อพิพากจบลง
5.สรุปแนวทางการนำไปใช้  - เมื่อมีข้อตกลงแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการนำไปปฎิบัติ โดยมีสภาพบังคับและผลของการไม่ปฎิบัติตาม และ ในบางครั้งเราจะติดตามและประเมินผลว่าการมีปฎิบัติตามข้อตงลงหรือไม่ เพียงใด เพราะว่าหากยังมิได้มีการดำเนินการตามข้อตกลงจนเสร็จสิ้น ก็ยังอาจไม่ถือได้ว่าการระงับความขัดแย้งนั้นประสบผลสำเร็จ ร้อยเปอเซ็นต์





ตัวแบบของการจัดการความขัดแย้ง



            การจัดการกับความขัดแย้งตามแบบของ Johnson & Johnson มี 5 วิธี โดยเปรียบเทียบแต่ละวิธีกับสัตว์ ชนิด คือ เต่า ฉลาม หมี ตุ๊กตา หมาจิ้งจอก และ นกฮูก ดังนี้
1. เต่า (การหลีกเลี่ยงถอยหนี) ธรรมชาติของเต่า คือ เมื่อมีภัยจะหดตัวหดหัวอยู่ในกระดอง เมื่อปลอดภัยแล้วจะยืดออกมา เต่าจะไม่สนใจเป้าหมายของงาน และไม่สนใจความสัมพันธ์ของบุคคล เราเรียกวิธีการจัดการความขัดแย้งนี้ว่า การถอยหนี คือ ทั้งเป้าหมายความสำเร็จในการทำงานและคนไม่สำคัญ
2. ฉลาม (การใช้อำนาจบังคับ) ธรรมชาติของฉลามเป็นสัตว์ที่ดุร้ายพละกำลังมาก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อต่อสู้ก็จะเป็นฝ่ายชนะ การบริหารในวิธีนี้จะใช้อำนาจที่เหนือกว่าเข้าบังคับโดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายของผู้อื่น เพราะถือว่า การชนะคือความสำเร็จ ส่วนการผ่ายแพ้ นั้นคือ ความอ่อนแอ เรียกวิธีนี้ว่า การใช้อำนาจ คือ เป้าหมายความสำเร็จในการทำงานสำคัญกว่า แต่คนไม่สำคัญ ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
3. หมีตุ๊กตา (การใช้ความนุ่มนวล) หมีมีความเชื่อว่า ความขัดแย้งนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรให้ความขัดแย้งมาทำลายความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หมีพร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน ถ้าเป้าหมายนั้นไปทำลายความสัมพันธ์กับคนอื่น เรียกวิธีนี้ว่าการใช้ความนุ่มนวล” คือ ให้ความสำคัญในเรื่องคน แต่เป้าหมายเรื่องงานไม่สำคัญ
4. หมาจิ้งจอก (การประนีประนอม) หมาจิ้งจอกจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายของงาน เท่า ๆ กับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งเป็นทางสายกลางของการประนีประนอม พร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน และเกลี่ยกล่อมให้คนอื่นยกเลิกเป้าหมายของเขาด้วย เรียกวิธีนี้ว่า การประนีประนอม คือ เป้าหมายและคนสำคัญปานกลาง
5. นกฮูก (การแก้ปัญหาร่วมกัน) นกฮูกมีความเชื่อว่า ความขัดแย้งคือปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแก้ไข ทำให้เป้าหมายของตนและผู้อื่นสัมฤทธิ์ผล เรียกวิธีนี้ว่า 
การแก้ปัญหาร่วมกัน คือ ทั้งเป้าหมายและคนสำคัญเท่ากัน


ที่มา : http://www.bloggang.com  และ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=748750



             

เทคนิคการจัดการความขัดแย้ง





เทคนิคการจัดการความขัดแย้ง


ในหัวข้อนี้จะเป็นยุทธวิธีที่ใช้ในการจัดการความขัดแย้งเมื่อเกิดความขัดแย้งถึงขั้นที่ต้องดำเนินการแก้ไข ซึ่งผู้บริหารสามารถนำไปใช้ในการดำเนินการบริหารจัดการความขัดแย้ง ด้วยวิธีต่างๆดังนี้ คือ 


1. ตรงเข้าไปแก้ปัญหานั้นเลย (Problem Solving) เป็น ลักษณะการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ การตรงเข้าไปโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาไม่ใช่เป็นการเอาชนะหรือตัดสิน ว่าใครถูกใครผิด วิธีนี้จะได้ผลถ้าความขัดแย้งนั้นมาจากการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเกิดจากทัศนคติ ความคิด หรือค่านิยมระหว่างบุคคล การใช้วิธีนี้อาจจะไม่บรรลุผลสำเร็จ อาจจะต้องนำวิธีอื่นมาใช้แทน


2. ใช้ความร่วมมือ (Super ordinate Goals) โดย ฝ่ายบริหารต้องแสดงให้เห็นว่าเป้าหมายที่แต่ละกลุ่มต้องการเข้าถึง ถ้าไม่ร่วมมือกันก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งฝ่ายบริหารต้องชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งในทางธุรกิจความขัดแย้งที่ใช้วิธีนี้แก้ไขจะมาจากความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายบริหารกับสหภาพแรงงาน





3.  ลดความขัดแย้งโดยการขยายทรัพยากร (Expansion of Resources) โดย การเพิ่มทรัพยากรที่ขาดแคลนเพื่อลดความขัดแย้งเช่นเพิ่มตำแหน่ง เพิ่มแผนก ซึ่งการแก้วิธีนี้นอกจากจะลดความขัดแย้งแล้วอาจทำให้ผู้ที่ได้รับการแต่ง ตั้งพอใจด้วย แต่ต้องดูในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วยอย่างเช่นเงินทุนหรือการให้บริการ ต่างๆว่าจะติดขัดขัดข้องหรือไม่




4. ลดความขัดแย้งโดยการหลีกเลี่ยง (Avoidance) หรือ การถอยหนีไม่รับรู้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งวิธีนี้แก้ไขได้ผลในระยะเวลา สั้นๆ ซึ่งความขัดแย้งไม่ได้หมดไป อาจจะกลับคืนมาใหม่และมีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม




5.  ทำให้เกิดความราบรื่นกลมกลืนกัน (Smoothing) วิธี นี้หมายถึงความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับพนักงานที่มีระดับแตกต่างกัน วิธีการคือต้องปรับระดับความแตกต่างให้น้อยลง โดยลดทิฐิ พยายามยกประเด็นความเหมือนกัน พวกเดียวกันของทั้งสองฝ่ายมาเป็นประเด็น โดยยึดหลักสมานสามัคคี ทั้งสองฝ่ายต้องมีใจต่อกัน


6. การลดข้อขัดแย้งโดยการประนีประนอมกัน (Compromise) วิธีการนี้ต้องใช้คนกลาง หรือให้คู่กรณีส่งตัวแทนมาเจรจาต่อรองกัน โดยทั้งคู่จะมีบางส่วนได้บางส่วนเสีย



7. ใช้กำลังหรือการบีบบังคับ (Forcing) วิธี นี้ใช้วิธีสลายข้อขัดแย้งโดยฐานะของการมีอำนาจของผู้บังคับบัญชา โดยใช้ระเบียบ กฎหมาย หรือคำสั่งให้คู่กรณียอม แต่อาจไม่ได้หมายถึงยอมรับหรือเห็นด้วย การแก้วิธีนี้ใช้ได้ระยะสั้นเท่านั้น โดยมุ่งลดผลที่ตามมาไม่ได้ลดที่เหตุของปัญหา


8. เปลี่ยนโครงสร้างองค์การ (Altering Structural Variable) ใช้ ในกรณีโครงสร้างขององค์การก่อให้เกิดความขัดแย้ง ผู้บริหารต้องหันมามองความขัดแย้งเสียใหม่ เพื่อลดความขัดแย้งให้ดำเนินการจัดการเรื่องบุคลากรใหม่ ให้มีการรับฟังความติดเห็นข้อเสนอแนะของพนักงานก็จะลดความขัดแย้งได้ (จุฑา เทียนไทย, 2547 : 274-277)


ที่มา:http://catadmin.cattelecom.com/km/blog/somphotm
         https://sites.google.com/site/reconflict/thbthwn-wrrnkrrm/sastr-dan-tang
                                                                                                                                                                        

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รูปแบบการเจรจาต่อรอง & ประโยชน์ของความขัดแย้ง

รูปแบบการเจรจาต่อรอง

(Negotiation & Bargaining)


ในการเจรจาหาข้อยุติของความขัดแย้งนั้นมีอยู่ 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่

1. Good Cop - Bad Cop



คือ การเจรจาใช้กันในวงการตำรวจในเวลาที่ต้องสอบปากคำคนร้ายโดยจะต้องมีคนรับหน้าที่ตำรวจเลว 1 คน และตำรวจดี 1 คน โดยเริ่มต้นด้วยการให้ตำรวจเลวข่มขู่หรือใช้กำลังกับคนร้าย หากคนร้ายไม่ยอมรับหรือไม่ยอมบอกข้อมูลก็ใช้แผนขั้นต่อไป คือเปลี่ยนตัวให้ตำรวจดีอีกคนเข้ามาแทนและแสดงท่าทีว่าเป็นห่วงคนร้าย แนะนำว่าควรสารภาพ หรืออาจจะเลี้ยงข้าวแล้วค่อยๆเกลี้ยกล่อมไปเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่อคนเราผ่านอะไรที่มันเลวร้ายมากๆมาแล้วมาเจอกับสิ่งที่ดีก็มักจะคว้าไว้เสมอ วิธีนี้สามารถใช้คนเพียงคนเดียวก็ได้แต่คนๆนั้นต้องเป็นผู้มีความชำนาญมากในการเจรจา แต่วิธีนี้เริ่มใช้ไม่ได้ผลแล้วในวงการตำรวจเพราะว่าเขาเริ่มจับเทคนิคได้แล้ว

2. Bogey


คือ การหยิบประเด็นที่เล็กน้อยให้อีกฝ่ายยอมรับก่อนแล้วจึงนำประเด็นนั้นโยงเข้ากับประเด็นเป้าหมายที่ตนเองต้องการ เช่น บริษัท A จะสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากจากบริษัท B แต่บริษัท B บอกว่า "สินค้ามันหมดน่ะ" ทั้งๆที่มีอยู่เต็มโกดังแล้วพูดต่อว่า "แต่เราจะเร่งผลิตให้คุณเป็นพิเศษเลยนะ แต่ว่าคุณต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยคุณตกลงไหม?" เพื่อเป็นการทำกำไรให้กับบริษัทเพิ่ม


3. High-Ball / Low-Ball



คือ การยิ่นขอเสนอที่สูงหรือต่ำเกินกว่าความจริงเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับในเงื่อนไขนั้นๆก่อน และเมื่อยอมรับเงื่อนไขแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงทีหลังโดนที่อีกฝ่ายด้องยอม เช่น  สั่งจอง Pre-order ของโทรศํพท์มือถือรุ่นหนึ่งเพราะแถมอุปกรณ์ต่างๆของรุ่นนั้นมากมายโดยต้องเสียเงินมัดจำในการจองด้วย แต่ในเวลาต่อมาพนักงานก็ติดต่อมาว่า อุปกรณ์ที่จะแถมให้นั้นมีไม่พอจะได้แค่ตัวโทรศัพท์มือถืออย่างเดียว แต่ถ้าจะถอนการจองจะได้เงินมัดจำคืนเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เราก็ต้องจำใจยอมไม่ถอนมัดจำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราไว้

4. Foot in the door technique


คือ การนำเสนอสิ่งของหรือสิทธิพิเศษที่ดีมากๆๆและไม่อาจปฏิเสธได้ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอที่เราต้องการจริงๆไปที่หลังเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตามและยอมรับข้อเสนอนั้น เช่น ป้ายโฆษณา "ซื้อบ้านแถมรถ" แต่มีตัวหนังสือเล็กมากถึงมากที่สุดอยู่มุมล่างของป้ายว่า "หมายเหตุ : รถนั้นต้องผ่อนชำระตามปกติเหมือนบ้าน ไม่ได้ให้ฟรีแต่ประการใด"

5. Door in the face


คือ การยื่นขอเสนอที่ยังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางยอมรับได้ไปก่อน แล้วค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆจนถึงข้อเสนอที่เราต้องการจริงๆ เช่น เราต้องการขอเงินคุณพ่อเป็นจำนวน 1,500 บาท 
เรา : พ่อขอตังหน่อย 5,000 นะจะเอาไปเที่ยว
พ่อ : ไม่ได้เอาไปเที่ยวบ้าอะไรเยอะขนาดนั้น
เรา : งั้น 3,000 ก็ได้นะๆ
พ่อ : ไม่เยอะไปอยู่ดี
เรา : งั้น 2,000 ก็ได้นะพ่อนะๆๆๆ
พ่อ : เออๆ 2,000 ก็ 2,000 


ประโยชน์ของความขัดแย้ง

ความขัดแย้งนั้นใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียเสมอไป ข้อดีของมันก้มีเหมือนกันคือ ทำให้คนเรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้นโดยใช้การเปิดใจในกันและกันเพื่อให้การแก้ปัญหานั้นง่ายยิ่งขึ้น และเมื่อมีการเปิดใจกันแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือบุคคลแต่ละคนนั้นก็จะได้เรียนรู้ถึงบทบาทของตนเองมากยิ่งขึ้นว่าตนมีหน้าที่อะไรในกลุ่มหรือองค์กร และจะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกลุ่มหรือองค์กรได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเราต้องการที่จะทำอะไร และทำให้เกิดทางเลือกใหม่ๆขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันขึ้นอีกครั้ง และสุดท้ายก็คือ ให้ประสบการณ์กับคนเราเพื่อไว้ใช้เป็นบทเรียนสอนตัวเองว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์นั้นๆ


By CrazyYut
 สิทธิโชค ถิรกิจพงศ์ 
53101010416

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
http://www.kpi.ac.th